ม.กีฬาจับมือ7สมาคมกีฬา ร่วมพัฒนาวิชาการ-เป็นเลิศ - มติชน

ม.กีฬาจับมือ7สมาคมกีฬา ร่วมพัฒนาวิชาการ-เป็นเลิศ

นายวิษณุ ไล่ชะพิษ ปฏิบัติหน้าที่อธิการบดีมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ เป็นประธานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจ ว่าด้วยความร่วมมือระหว่าง มหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ กับ 7 สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ 7 รอบพระชนมพรรษา การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) เมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์

โดย ม.การกีฬาแห่งชาติ ได้จับมือกับ 7 สมาคมกีฬาแห่งประเทศไทย ได้แก่ สมาคมกีฬาคนหูหนวกแห่งประเทศไทย, สมาคมกีฬาคอร์ฟบอลแห่งประเทศไทย, สมาคมกีฬาจานร่อนแห่งประเทศไทย, สมาคมกีฬาซอฟต์บอลแห่งประเทศไทย, สมาคมกีฬาปีนหน้าผาแห่งประเทศไทย, สมาคมกีฬาผู้เปลี่ยนอวัยวะแห่งประเทศไทย และสมาคมกีฬาวู้ดบอลแห่งประเทศไทย เพื่อดำเนินงานพัฒนากีฬาของแต่ละสมาคมฯ ทั้งด้านวิชาการรวมถึงการพัฒนานักกีฬาสู่ความเป็นเลิศ

นายวิษณุกล่าวว่า ม.การกีฬาแห่งชาติ เป็นสถาบันการศึกษาที่มุ่งพัฒนานักกีฬาไปสู่ความเป็นเลิศ รวมถึงด้านวิชาการด้วย การจับมือครั้งนี้คงเป็นการร่วมมือที่ดีระหว่างสมาคมกีฬากับ ม.การกีฬาแห่งชาติ เราพร้อมจะร่วมกับทุกสมาคมกีฬาในการพัฒนานักกีฬาและความรู้ เพราะลำพังบุคลากรของ ม.การกีฬาแห่งชาติอาจจะมีความรู้ไม่เท่ากับบุคลากรจากสมาคมกีฬานั้นๆ จะพยายามให้มีการเรียนการสอนในทุกกีฬาที่ได้ทำบันทึกข้อตกลงนี้

ขณะที่ ศาสตราจารย์ ดร.สุปราณี ขวัญบุญจันทร์ นายกสมาคมกีฬาคอร์ฟบอลแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ในนามของสมาคมกีฬาทั้ง 7 สมาคม ในวันนี้เรามีความคาดหวังอย่างมากที่จะนำ 7 ชนิดกีฬา เข้าไปมีส่วนร่วมในมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ รวมไปถึงโรงเรียนกีฬาต่างๆ ด้วย ซึ่ง 7 สมาคมกีฬานี้เป็นสมาคมกีฬาน้องใหม่ ยังไม่เป็นที่นิยมมากนัก เราจะทำอย่างไรให้ชนิดกีฬาเหล่านี้แพร่หลายและเป็นที่นิยมของนักเรียน นักศึกษาและประชาชน เราจึงจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในวงการการศึกษา อย่างมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ ที่มีทั้งการศึกษาในระดับมัธยม และอุดมศึกษา นั่นคือการต่อยอดองค์ความรู้ ในเชิงกีฬาทั้ง 7 ชนิดกีฬา ซึ่งจะต่อยอดสู่การพัฒนานักกีฬาระดับเยาวชน และทีมชาติในอนาคต

นอกจากนั้น สิ่งที่สำคัญอย่างมาก คือ เราจะเน้นพัฒนาหลักสูตรการเรียน การสอน ก็คือเราจะทำอย่างไรให้ 7 ชนิดกีฬาเหล่านี้ เป็นกีฬาทางเลือกในหลักสูตรของวิชาพลศึกษา หรือวิทยาศาสตร์การกีฬา และศิลปศาสตร์ต่างๆ ที่ทางมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติมี และเราจะต้องพัฒนาในตัวบุคลากรด้วย เพื่อที่ในอนาคตเราจะได้ไปมีบุคลากรที่มีศักยภาพอยู่ตามสมาคมกีฬาต่างๆ รวมไปถึงการมาเป็นผู้ฝึกสอนและผู้ตัดสินในระดับนานาชาติ เราจึงเห็นว่าโรงเรียนกีฬาและมหาวิทยาลัยการกีฬาแห่งชาติ จะเป็นแหล่งสำคัญในการผลิตบุคลากรทั้ง 7 ชนิดกีฬาและจะพัฒนาได้อย่างยั่งยืนต่อไปในอนาคต